edwinperera.com
AHA & BHA คืออะไร? ต่างกันยังไง? สวัสดีจ๊าสาวๆ เคยสงสัยมั้ยว่า ส่วนผสม ที่อยู่ในครีมบำรุง ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เราใช้ มันช่วยบำรุงในเรื่องไหน มีส่วนประกอบหรือส่วนผสมอย่างไร วันนี้แอดมินขอยกตัวอย่าง AHA และ BHA ว่าคืออะไร? ต่างกันยังไง? แล้วตัวไหนใช้แล้วขาวกันแน่? ผิวแบบเราควรเลือกใช้ตัวไหนถึงจะเหมาะ วันนี้ Beauty blog มีคำตอบมาให้สาวๆ กันจ้า AHA และ BHA คืออะไร?
BHA มาจากคำว่า Beta Hydroxy Acid ซึ่งเป็นชื่อของสารเคมีกลุ่มเบต้าไฮดรอกซี่ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ มีคุณสมบัติคล้ายกับสารในกลุ่มกรดผลไม้ (หรือ AHA) คือช่วยในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุด, ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ, ลดการอักเสบของผิว, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้, มีผลให้ปริมาณกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) ใช้ชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น, และช่วยให้รูขุมขนและริ้วรอยบนใบหน้ามีขนาดเล็กลง BHA มีความแตกต่างจาก AHA ตรงที่ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงสามารถละลายเซลล์ที่ตายแล้ว รวมทั้งซีบัม (sebum) ที่อุดตันรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ BHA เหมาะกับผู้ที่... 1. มีสภาพผิวผสมจนถึงผิวมัน 2. มีปัญหาสิว ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน 3. มีจุดด่างดำ หรือฝ้า 4. มีปัญหาผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ผิวหยาบกร้าน และมีริ้วรอย 5. มีปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดโรซาเซีย ซึ่งผิวหนังมีความหนาและมีตุ่มแดง เทคนิคการใช้ BHA อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. ทดสอบการแพ้และระคายเคืองก่อนการใช้จริง โดยทาผลิตภัณฑ์จำนวนเล็กน้อยที่ข้อพับ, ใต้ท้องแขน, หรือหลังใบหู ทิ้งไว้อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง จากนั้นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวว่ามีรอยแดง ผื่นคัน หรือรู้สึกแสบหรือไม่ 2.
Source: 1, 2 คราวนี้ก็ชัวร์แล้วใช่ไหมล่ะค่ะว่าผิวแบบเราเลือกใช้ตัวไหนดีแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญคือห้ามลืมเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวกันด้วยนะคะ เรื่องนี้สำคัญมาก จะได้ไม่แพ้ หน้าแดง หน้าลอกกันค่า
- ถูกและดีของจริง
สนใจสร้างแบรนด์ครีมกับโรงงานรับ ผลิตครีม โรงงานผลิตอาหารเสริม คลิกเพื่อดูรายละเอียดได้ อะไรคือ BHA (บีเอชเอ) BHA (บีเอชเอ) มีชื่อเรียกเต็มๆว่า Beta Hydroxy Acid หรือSalicylic Acid ที่สกัดมาจากเปลือกของต้น Willow บีเอชเอ เป็นสารสกัดที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนังมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ใช้รักษาโรคมากกว่า โดยจะผสมในยารักษาหูด ส้นเท้าแตก โรคผิวหนังชนิดอักเสบเรื้อรัง คนที่มีฝ่ามือฝ่าเท้าหนาเพราะว่าบีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้น ซึ่งสำหรับการรักษาโรค จะใช้บีเอชเอในระดับความเข้มข้น 0.
คือ Beta Hydroxy Acid คือ Salicylic acid นั้นเอง BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า beta hydroxy acid เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา มีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อน ไม่เสื่อมง่ายเหมือนเอเอชเอ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จัก กันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) BHA มีคุณสมบัติในการทำให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่ AHA ซึ่งความเข้มข้นที่ใช้ได้ทั่วไปคือ 0. 5-5% ผลข้างเคียงของ BHA หากใช้ BHA ในปริมาณความเข้มข้นสูงๆก็มีผลเสียต่อผิวหนังเช่นเดียวกับ AHA ในเรื่องของการเกิดการระคายเคือง ผิวแดง ผิวลอก ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์ต่างๆที่ทำหน้าที่ในการปกป้องผิวทำงานได้ต่ำลงด้วย ทำให้ผิวติดเชื้อได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้นควรใช้ปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับสภาพผิวของตนเองนะคะ AHA และ BHA เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? Photo credit: AHA และ BHA ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ BHA สามารถละลายในไขมันได้ ทำให้ซึมลึกเข้ารูขุมขนและเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกและสิ่งอุดตันในนั้นได้ เหมาะกับคนมีปัญหา สิวอุดตัน และรูขุมขนดูกว้าง สำหรับ AHA จะซึมลงได้น้อยกว่า BHA มักจะใช้กันกับปัญหาปัญหาผิวที่อยู่ชั่นบน มักทำมาใช้ผลัดเซลล์ผิวที่มีปัญหาเรื่อง รอยดำจากสิว สีผิสไม่สม่ำเสมอ รวมถึงฝ้ากระต่าง ๆ ซึ่งมักจะใช้กันอยู่ที่ 5-10% ช่วงที่ใช้ผลิตภัณฑ์ AHA และ BHA แนะนำให้ทา กันแดด เป็นประจำ เพราะความเข้มข้นที่ใช้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดค่ะ