edwinperera.com
มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. ภาพรวมตลาดจีน: ศักยภาพ -ศักยภาพทางเศรษฐกิจ -ตลาดการบริโภคสินค้า -เทรนด์อุตสาหกรรม -การแบ่งทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจในประเทศ 2. รู้จักประเทศจีนดีแล้วหรือยัง? พฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน -การแบ่งผู้บริโภค 4 ด้าน -ประเภทของผู้บริโภคและความชอบของผู้บริโภค -เทรนด์ของผู้บริโภคในปี 2020-2021 3. สินค้าขายดีในตลาดจีน เทรนด์ของสินค้าและการผลิตที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในทันที -เทรนด์ของสินค้า -สินค้าขายดี 4.
เขียนสัญญาข้อตกลงต่างๆ ให้เป็นลายลักษณ์อักษรและมีการเซ็นรับทราบทั้งสองฝ่ายทุกครั้ง การทำสัญญาให้แก่คู่ค้าทางธุรกิจคือพันธสัญญาในรูปแบบมืออาชีพซึ่งคุณและคู่ค้าจำเป็นต้องทบทวนข้อเสนอสำหรับทั้งสองฝ่ายให้ละเอียดและอยู่ในสถานการณ์ที่ 'วิน-วิน' ก่อนลงนามเซ็นสัญญาทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียผลประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานขึ้นมาและไม่สามารถแก้ไขได้ ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ควรทำตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากที่สุด 4.
มองหาคู่ค้าธุรกิจที่สินค้าหรือบริการสามารถส่งเสริมกันได้ ลองสำรวจดูว่าสินค้าและบริการของคุณสามารถมองหาใครเป็นพาร์ทเนอร์กับคุณได้บ้าง ที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ วิน-วิน (Win-Win) เช่นเดียวกับคุณ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ คือ การลิสท์รายชื่อบริษัทหรือคู่ค้าที่มีความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจร่วมกัน จากนั้นโทรนัดกับบุคคลระดับผู้บริหารหรือเจ้าของไปเลย เพราะนี่คือการพูดคุยเชิงผลประโยชน์ พวกเขายินดีที่จะรับฟังคุณอยู่แล้ว 2. ออกแบบ "Business Model" ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย โดย รูปแบบของ Business Model ที่คุณสามารถมอบให้กับพาร์ทเนอร์ มีดังนี้ 2. 1 เสนอผลประโยชน์ให้คู่ค้า ในกรณีที่สามารถหาลูกค้าให้กับคุณได้ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร หรือพูดง่ายๆ ก็คือ "นายหน้า" คุณอาจจะแบ่งผลประโยชน์ในรูปแบบตัวเงินค่าแนะนำหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งคุณจะเป็นผู้จัดการงานหลังการขายทั้งหมด ส่วนคู่ค้าก็ได้รับผลประโยชน์ไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไร วิธีนี้เป็นวิธีการที่ง่าย เพียงแต่คุณต้องอย่าทำงานให้ผิดพลาดบ่อย เพราะจะทำให้พาร์ทเนอร์ "เสียเครดิต" ทำให้หมดความเชื่อถือกับคุณ 2. 2 ขายสินค้าหรือบริการของคุณให้กับคู่ค้า โดยที่พวกเขาสามารถทำกำไรหรือมีสินค้าขายเพิ่มจากคุณ ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบได้ยาก คู่ค้าสามารถนำสินค้าหรือบริการของคุณไปขายต่อ โดยมีการบวกกำไรเพิ่มเติมจากส่วนที่คุณเสนอมา ซึ่งราคาที่คุณเสนอแก่พวกเขาควรเป็นราคาพิเศษ มีกำไรให้กับคู่ค้าพอสมควร เพื่อช่วยให้คู่ค้ามีความต้องการในการขายสินค้าหรือบริการของคุณมากยิ่งขึ้น 2.
มองหาคู่ค้าที่ทำธุรกิจที่สินค้าหรือบริการของคุณสามารถส่งเสริมธุรกิจพวกเขาได้ แน่นอนว่าคุณคงไม่สามารถมองคนที่ทำธุรกิจเหมือนกับคุณในช่วงแรก เพราะพวกเขาคือคู่แข่งของคุณ สิ่งที่คุณควรทำคือการสำรวจว่าสินค้าและบริการของคุณสามารถมองหาใครเป็นพาร์ทเนอร์กับคุณได้บ้าง และพาร์ทเนอร์ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ วิน-วิน (Win-Win) เช่นเดียวกับคุณ การบ้านที่คุณควรทำคือการลิสท์รายชื่อบริษัทหรือคู่ค้าที่มีความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจร่วมกัน จากนั้นให้โทรทำนัดกับบุคคลระดับผู้บริหารหรือเจ้าของไปเลย เพราะนี่คือการพูดคุยเชิงผลประโยชน์ พวกเขายินดีที่จะรับฟังคุณอยู่แล้ว 2. ออกแบบ 'Business Model' ที่เป็นไปได้และสามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย รูปแบบของ Business Model ที่คุณสามารถมอบให้กับพาร์ทเนอร์ มีดังนี้ 2. 1 เสนอผลประโยชน์ให้คู่ค้า ในกรณีที่สามารถหาลูกค้าให้กับคุณได้ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร รูปแบบนี้พูดง่ายๆ ก็คือ 'นายหน้า' ซึ่งคุณเพียงแค่เสนอให้พวกเขาหาลูกค้า ถ้าสามารถปิดการขายได้ คุณอาจจะแบ่งผลประโยชน์ในรูปแบบตัวเงินค่าแนะนำหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งคุณจะเป็นผู้จัดการงานหลังการขายทั้งหมด ส่วนคู่ค้าก็ได้รับผลประโยชน์ไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไร วิธีนี้เป็นวิธีการที่ง่าย เพียงแต่คุณต้องอย่าทำงานให้ผิดพลาดบ่อย มิเช่นนั่นจะเป็นการทำให้พาร์ทเนอร์ 'เสียเครดิต' หรือ 'เสียหน้า' ทำให้หมดความเชื่อถือกับคุณ 2.
3 หาคู่ค้าที่สามารถทำในส่วนที่คุณต้องการลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ เหมาะสำหรับส่วนงานที่คุณต้องการลดต้นทุน ไม่อยากแบกรับภาระ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในส่วนงานนั้นๆ คุณสามารถหาคู่ค้าที่เข้ามารับงานในส่วนนั้นๆ แทนได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นคู่ค้าที่ให้บริการในแง่ของ "Outsource Service" ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนเองนั่นเอง 3. เขียนสัญญาข้อตกลงต่างๆ ให้เป็นลายลักษณ์อักษรและมีการเซ็นรับทราบทั้งสองฝ่ายทุกครั้ง การทำสัญญาให้แก่คู่ค้าทางธุรกิจ คือ พันธสัญญาในแบบมืออาชีพ ซึ่งคุณและคู่ค้าจำเป็นต้องทบทวนข้อเสนอสำหรับทั้งสองฝ่ายให้ละเอียดและอยู่ในสถานการณ์ที่ "วิน-วิน" ก่อนลงนามเซ็นสัญญาทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียผลประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานขึ้นมาและไม่สามารถแก้ไขได้ ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ควรทำตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากที่สุด 4.
ติดต่อและโทรทำนัดเข้าไปนำเสนอได้เลย เนื่องจากว่าคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่คุณสามารถมอบผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยตรงได้ การโทรทำนัดเข้าไปโดยตรงทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน (Cold-Calling) จะเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าคุณโทรเข้าไปขายของลูกค้าโดยตรงเสียอีก คุณสามารถขอเรียนสายเจ้าของบริษัทได้เลยผ่านโอเปอเรเตอร์ และสามารถพูดตรงๆ ได้ว่าคุณมีความตั้งใจที่จะเข้าไปนำเสนอสำหรับการเป็นคู่ค้าทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อมอบผลประโยชน์ที่วิน-วิน ทั้งสองฝ่่าย ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะพาร์ทเนอร์ระดับเจ้าของกิจการมักชอบที่จะฟังผลประโยชน์ที่คุณเสนอในฐานะคู่ค้าอยู่แล้ว 3.
Business Partner หรือ คู่ค้า หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่เราเคยได้ยินกัน ทำไมต้องมี? มีแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรต่อธุรกิจคุณ?
การสร้างพาร์ทเนอร์ธุรกิจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ผ่านธุรกิจของพาร์ทเนอร์ของเราได้ หรือในทางกลับกันพาร์ทเนอร์ของเราก็สามารถเติบโตและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ จากเราได้เช่นกัน แต่หากผู้ประกอบการท่านใดที่อยากจะสร้างพาร์ทเนอร์ธุรกิจแต่ยังไม่แน่ใจว่าเริ่มยังไง บทความนี้จะมาแนะนำทีละขั้นตอนให้คุณนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้เลย การสร้างพาร์ทเนอร์ธุรกิจคืออะไร? มันคือการที่เรามีธุรกิจของเราอยู่แล้ว และเราต้องการหาธุรกิจอื่น ๆ เพื่อเข้ามาเป็นผู้ช่วยธุรกิจของเราในด้านใดด้านหนึ่ง เสมือนกับการหาเพื่อนเพื่อมาช่วยทำงานกลุ่ม 3 ขั้นตอนการสร้างพาร์ทเนอร์ธุรกิจ 1. เข้าใจเป้าหมายขององค์กรของคุณ ตอบให้ได้ก่อนว่า Vision หรือวิสัยทัศน์ ขององค์กรของคุณคืออะไร องค์กรของคุณถูกสร้างมาเพื่อเหตุผลอะไร การเข้าใจสิ่งนี้จะถูกใช้เป็นโจทย์เพื่อหาสร้างพาร์ทเนอร์ธุรกิจ 2.